เจ้าหญิงงู
เจ้าหญิงงู เช้าแรกในพนมเปญ ระวีและทีมงานเริ่มต้นภารกิจด้วยกิจกรรมส่วนตัว คือการรับประทานอาหารเช้าที่ Royal Phnom Penh hotel ที่เราพักซึ่งเป็นโรงแรมของคนไทยที่เป็นเจ้าของยาบรรเทาอาการหวัดซองสีเขียวในประเทศไทยมาลงทุนสร้างโรงแรมในประเทศกัมพูชา ระวีและทีมงานได้รับการดูแลอย่างดีในฐานะสื่อมวลชนที่มาจากประเทศไทย
“ซัว ซะเคย์ ครับ” เสียงพนักงานหนุ่มเดินเข้ามาทักทายระวี และแจ้งเป็นภาษาไทยว่า มีแขกมาขอพบทีมงาน 2 คน รออยู่ที่lobby ระวีรับทราบและกล่าวขอบคุณพนักงานหนุ่ม พนักงานที่นี่พูดภาษาไทยได้เพราะเจ้าของและผู้บริหารที่นี่เป็นคนไทย จึงต้องไปเรียนภาษาไทย
ไม่ถึง 5 นาที ระวีก็พาตัวเองออกมาที่ lobby ของโรงแรม เมื่อได้ทักทายพูดคุยกับผู้ที่มาขอพบ เธอก็เดาไม่ผิดว่าแขกทั้งสองคนนี้เป็นใคร หนุ่มน้อย สองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า เป็นหนุ่มชาวเขมรที่อาสามาเป็นล่ามและเป็นคนคอยดูแลระวีและทีมงานตลอด 2 สัปดาห์ที่อยู่พนมเปญ ซึ่งสองหนุ่มน้อยน้อยนี้เป็นอภินันทนาการจาก สถานีโทรทัศน์ UBC ประเทศไทย สาขาพนมเปญ แน่นอนว่าทั้งสองพูดภาษาไทยได้ดีทีเดียว สำหรับที่กัมพูชาในขณะนั้น คนที่พูดภาษาไทยได้เรียกว่าโก้ไม่หยอก และจะถูกชื่นชมเหมือนคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้เก่งในบ้านเมืองเรานั่นเอง
ระวีเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือ ก็เห็นว่าเพิ่งจะ 8 โมง ซึ่งยังเช้ามากนัก จึงบอกสองหนุ่มให้นั่งเล่นรอที่ Lobby ไปก่อน แล้วระวีก็ขอตัวกลับไปสรุปงานที่จะต้องทำกับทีมงานในวันนี้ ก่อนจะลงมาบอกตารางทำงานกับสองหนุ่มน้อยอีกครั้งว่าเธอต้องการจะเดินทางไปที่ไหนในวันนี้
10.00 น. ทีมงานทุกคนพร้อมออกเดินทาง รถเก๋งพร้อมคนขับที่ได้รับอภินันทนาการจากโรงแรมก็มาจอดรอที่หน้า lobby เรียนร้อยแล้ว วันนี้วันแรกที่เราต้องออกตามหา “ เจ้าหญิงงู” ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของสมเด็จพระนโรดมสีหนุกษัตริย์แห่งกัมพูชา ซึ่งคงสืบหาได้ไม่ยากนัก เพราะหนังสือสารคดีที่ระวีได้ตามรอยและศึกษามาอย่างดี รวมทั้งได้พูดคุยกับผู้เขียนตัวเป็นๆ ซึ่งได้รับการยืนยันว่า “เจ้าหญิงงู” เข้าพบได้ไม่ยาก เพราะท่านได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของคณะรัฐบาลกัมพูชา
เราเริ่มต้นค้นหา “เจ้าหญิงงู” แห่งแรกที่สำนักงานบางกอกแอร์เวย์ สาขาพนมเปญ ตามเนื้อหาของหนังสือสารคดีที่ระบุไว้ว่า เจ้าหญิงงู มีความสนิทสนมกับแอร์โฮสเตสคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่สวมบทบาทนางรำในตำนานประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชาที่สำคัญยิ่งคือ “นางอัปสรา” ถ้าหากใครมีโอกาสไปเที่ยวนครวัด นครธม ก็จะเห็นรูปแกะสลักของนางอัปสรา อยู่หลายภาพ เราจึงมั่นใจว่าหากได้พบแอร์โฮสเตสคนนี้เราก็จะรู้ว่า ตำหนักของเจ้าหญิงงูประทับอยู่ที่ไหน
แต่ใครจะรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะทันทีที่เหยียบแผ่นดินกัมพูชา เราก็โดนอำนาจความลี้ลับที่มองไม่เห็นทดสอบเอาเข้าแล้ว เราเดินทางไปถึงสำนักงานของบริษัทบางกอกแอร์เวย์ และเข้าไปติดต่อสอบถามเพื่อขอเข้าพบ นางอัปสรา ที่ได้อ้างอิงถึงในสารคดี แต่โชคร้าย เพราะเธอขึ้นเครื่องไปปฏิบัติหน้าที่เสียแล้ว ไม่เป็นไรเรายังมีเวลาอีกเยอะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ แต่เมื่อมาแล้วไม่ให้เสียเที่ยว ระวีจึงพยายามพูดคุยกับแอร์โฮสเตสชาวกัมพูชาคนอื่น ถึงที่ประทับของเจ้าหญิงงูในพนมเปญ
แต่แปลกมากไม่มีใครรู้ไม่มีใครรู้จักท่านเลย เป็นไปได้ยังไง!!! ก็ผู้เขียนสารคดี ยืนยันเป็นนักเป็นหนาว่า หาท่านได้ไม่ยาก ใครๆก็รู้จักและทราบว่าท่านประทับอยู่ที่ไหน และยังแนะนำให้เรามาที่สำนักงานงานบางกอกแอร์เวย์แห่งนี้เพื่อถามถึงที่ประทับแล้วจะมีคนพาไปเข้าเฝ้าเอง แต่นี่กลับไม่มีใครรู้จักท่านเลยด้วยซ้ำ คุยเพื่อหาข้อมูลได้สักพัก ระวีกับทีมงานก็ขอตัวกลับ และแจ้งที่สำนักงานว่า พรุ่งนี้เราจะกลับมาอีก
เราออกจากสำนักงานของบางกอกแอร์เวย์แล้วก็ให้สองหนุ่มน้อยพาเราไปตะเวนดูสภาพแวดล้อมของกรุงพนมเปญ ซึ่งความน่ารักในหลายๆมุมที่ได้มองเห็น ทำให้ความหงุดหงิดที่ไม่สามารถหาเจ้าหญิงงูพบ หายไปจนเกือบหมด
กรุงพนมเปญในวันนั้น ยังพัฒนาล้าหลังกว่าเมืองไทยเรากว่า 50 ปี ประชาชนยังมีชีวิตอยู่บนความเรียบง่าย แบบบ้านๆ แม้จะเป็นในเมืองหลวงของประเทศ รถโดยสารสสาธารณะยังคงเป้นสามล้อที่ได้อิทธิพลมาจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ที่เรียกกันว่า “ จิ๊กโกโร่” คือมีลักษรธที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร โดยคุณลองนึกถึงสามล้อถีบบ้านเรา
ที่วัสดุทำจากไม้และเหล็กเหมือนๆกัน แต่ต่างกันตรงที่สามล้อมถีบบ้านเรา ผู้โดยสารนั่งด้านหลัง เบาะที่นั่งมีหลังคา และผู้ปั่นสามล้อจะปั่นอยู่ด้านหน้า แต่ของกัมพูชาจะกลับกันคือ ผู้ปั่นอยู่ด้านหน้า ผู้โดยสารนั่งเบาะที่ไม่มีหลังคาอยู่ด้านหน้า โดยเมื่อเวลาเคลื่อนที่เบาะผู้โดยสารจะเอนไปข้างหน้าแบบไม่มีอะไรกั้นกันตก ดังนั้นเมื่อใดที่ผู้ปั่นเบรครถกะทันหัน ผู้โดยสารก็จะหน้าคะมำลงไปที่พื้นถนน จนเป็นภาพที่น่าขัน แต่เป็นเรื่องปกติของคนที่นั่น เพราะเมื่อรถสามล้อต้องหยุดที่ไฟแดงก็จะมีผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยที่จะหน้าคะมำลงไปที่พื้นถนน ซึ่งไม่มีใครสนใจใคร
ต่างคนต่างคะมำ แล้วก็รู้หน้าที่ว่าต้องเด้งตัวกลับมานั่งเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราคนต่างถิ่นดูแล้วก็อดขำไม่ได้ อย่างเรื่องของวงเวียนที่พนมเปญอีก ไม่มีการสร้างวงวียนให้เปลืองงบแต่อย่างไร เพราะใช้เพียงถังสีขนาดเท่าสีทีโอเอใส่ปูนซีเมนต์ลงไปให้เต็มแล้วทาถังเป็นสีขาว วาดเส้นวงเวียนสีแดงรอบๆถัง แล้วจราจรก็ขึ้นไปยืนบนถังคอยเป่านกหวีด แต่ด้วยมีวงกว้างค่อนข้างแคบ จึงไม่แปลกที่จราจรจะถูกผู้ขับขี่รถในวงเวียนชนตกถังอยู่ทุกๆ 5 นาที เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ยังจะเรื่องของร้านตัดผมที่แสนจะน่ารักเป็นธรรมชาติอีก ร้านตัดผมของคนพนมเปญส่วนใหญ่ จะใช้ต้นไม้ขนาดใหญ่เป็นร้านตัดผม
โดยช่างตัดผมจะนำเอากระจำของตนไปตอกตะปูไว้รอบๆต้นไม้ แล้วก็เอาเก้าอี้บาร์เบอร์สำหรับลูกค้า 1 ตัววางให้ตรงกับตำแหน่งของกระจก ก็เท่ากับเป็นร้านตัดผม 1 ร้าน ดังนั้นในต้นไม้ต้นหนึ่งจะมีร้านตัดผมประมาณ 4-5 ร้าน รอบๆต้นไม้ ดูแล้วต้องอมยิ้ม และแอบอิจฉาคนพนมเปญที่ได้มีโอกาสตัดผมท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์เป็นธรรมชาติ
หนุ่มน้อยพาเราสำรวจเมืองพนมเปญจนเย็น จึงพากันกลับโรงแรมที่พัก ก่อนกลับเราได้ให้ทริปแก่หน่มน้อยทั้งสองเป็นเงินไทยคนละ 100 บาท เขาดีใจจนเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่ แต่เมื่อระวีได้พูดคุยกับสองหนั่มน้อยหลังเลิกงานในวันนั้นที่ lobby เธอก็รู้สึกสะท้อนใจและรู้สึกผิดอย่างมากมาย เมื่อทราบว่า หนุ่มน้อยทั้งสองต้องขัยมอเตอร์ไซด์มาหาเธอที่โรงแรมด้วยระยาทางไกลถึง 70 กิโลเมตร นั่นหมายความว่าถ้าจะมาถึงโรงแรม 8 โมงเช้าก็ต้องออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ตี3 ตี4
และเมื่อระวีชมสองหนุ่มน้อยว่าแต่งตัวได้เท่ห์และหล่อมาก เพราะสองหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและ กางเกงสแล็กสีดำรีดเรียบ ซึ่งเธอเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ธรรมดาเพราะมันเป็นยี่ห้อ แอร์โรว์ทั้งชุด ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มแก้มปริ และบอกว่า เขาซื้อเสื้อผ้านี้ชุดละ 700 บาท เป็นเสื้อผ้าที่แพงที่สุดในชีวิต(ถือว่าแพงมากสำหรับคนเขมร เพราะค่าเงินของประเทศถูก)
และเพิ่งมีโอกาสใส่ครั้งแรก ต้องทำงานเก็บเงินถึง 4 เดือนกว่าจะได้เสื้อผ้าสุดหล่อชุดนี้ เขาบอว่าต้องต้อนรับนักข่าวมาจากเมืองไทย เขาต้องหล่อหน่อยล่ะ แถมยังบอกว่า เขามีเสื้อผ้าแบบนี้แค่คนละชุด เดี๋ยวต้องรีบกลับไปซักรีดเพื่อที่จะใส่มาในวันพรุ่งนี้อีก และจะต้องทำอย่างนี้ทุกวันในสองอาทิตย์ที่มาดูแลเรา ระวีฟังแล้วรู้สึกเห็นใจหนุ่มน้อยทั้งสองเป็นที่สุด และก็ชื่นชมในความมุมานะของเขา 5 โมงเย็นแล้วเธอจึงรีบไล่เขากลับบ้าน
เพราะต้องเดินทางไปอีกไกลก่อนกลับเธอซื้อ เบเกอรี่ที่โรงแรมให้หนุ่มน้อยเอากลับไปฝากที่บ้านแทนการตอบแทนน้ำใจ และนัดพบกันในวันถัดไป หลังรับประทานอาหารเย็นกันเรียบร้อย ระวีและทีมงานก็นั่งประชุมสรุปงานของวันนี้และวางแผนงานที่จะทำในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้านอน
ติดตามอ่าน สถานการณ์การสืบหาพระตำหนักที่พักของเจ้าหญิงงู ในตอนต่อไป ไปลุ้นกันว่าระวีกับทีมงานจะหาเจ้าหญิงงูได้พบไหม ?